วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

การพัฒนาหลักสูตรด้วย Critical Event Model (CEM) ขั้นที่ 4

Critical Event Model (CEM)
-Leonard Nadler (1994)

ขั้นที่ 4   การกำหนดวัตถุประสงค์  (Determining Objectives)
            เมื่อจบขั้นตอนที่นี้ ผู้ออกแบบหลักสูตรต้องสามารถ
1.  ระบุส่วนประกอบที่ต้องนำมาพิจารณาในการกำหนดวัตถุประสงค์
2.  กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพื่อการออกแบบหลักสูตรได้

          ก่อนจะลงรายละเอียดเรื่องการกำหนดวัตถุประสงค์  ควรทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง  course”  และ  “program”  ในแง่ของ HRD ก่อนนะคะ
          “course”  หมายถึง  ประสบการณ์การเรียนรู้เพียงหนึ่งประสบการณ์  ที่เริ่มและจบในระยะเวลาอันสั้น  หรือภายในหนึ่งวัน
          “Program”  หมายถึง    ประสบการณ์การฝึกอบรมที่ออกแบบขึ้นโดยอาจจะมีหนึ่งประสบการณ์การเรียนรู้หรือมากกว่าก็ได้  หรือเป็น course หลาย course ต่อเนื่องกัน  

วัตถุประสงค์คืออะไร
          วัตถุประสงค์เป็นสิ่งที่ต้องการทำเพื่อให้ประสบผลสำเร็จ  การกำหนดวัตถุประสงค์จำเป็นต้องผ่านกระบวนการที่เกี่ยวกับคนและข้อมูลในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ผู้ออกแบบไม่ควรเขียนวัตถุประสงค์เองมิฉะนั้นจะกลายเป็นวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้ออกแบบ  หรือเมื่อเขียนวัตถุประสงค์จากข้อมูลที่มีแล้ว  ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยพิจารณาว่าตอบสนองความต้องการหรือไม่   และสิ่งสำคัญของการมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อการประเมินผลการเรียนรู้และการปฏิบัติงานว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นเพียงใด  เราจึงควรเขียนวัตถุประสงค์ในเชิงพฤติกรรมจะสามารถวัดได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาวัตถุประสงค์ของโปรแกรม (Develop program objectives)
การเขียนวัตถุประสงค์เริ่มจากขั้นตอนการกำหนดความต้องการของผู้เรียนโดย  จัดลำดับความสำคัญ (Priorities)  ของความต้องการที่ได้มา   และการพิจารณาความเร่งด่วนของการเขียนวัตถุประสงค์พิจารณาที่
o  เวลา  (Time)   ความเร่งด่วนของเวลาที่ต้องการแก้ไขปัญหา
o  ทรัพยากร  (Resource)  ต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหน  หรือความพร้อมของบุคลากรในการสามารถอบรม
o  ความถี่  (Frequency) ของการปฏิบัติงานว่าต้องปฏิบัติด้วยลักษณะงานแบบนั้นบ่อยเพียงไร
o  ศักยภาพของผู้เรียน  (Potential learner)  
o  ปัจจัยภายนอกองค์กร   เช่น  จากคู่แข่ง  หรือรัฐบาล
สิ่งหนึ่งคือ การจัดอันดับนี้ยังไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์ ขั้นนี้ผู้ออกแบบจะพบว่าความต้องการบางข้อสามารถรวมกันได้  และความต้องการบางข้อไม่สามารถแก้ได้ด้วยการฝึกอบรม  การรวมความต้องการบางข้อที่คล้ายคลึงกันไว้ด้วยกันช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

กระบวนการ (Process)
 การกำหนดวัตถุประสงค์นั้น   ผู้ออกแบบไม่ควรเป็นผู้เขียนโดยเพียงลำพัง  ควรต้องร่วมพิจารณากับหน่วยงานที่ต้องการจัดอบรมในระดับหัวหน้างาน   ทั้งนี้ยังไม่ต้องแจ้งให้ผู้เรียนทราบก็ได้
มีกระบวนการหลายกระบวนการในการแปลงความต้องการเป็นวัตถุประสงค์  รูปแบบหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับได้แก่  การสำรวจทักษะ (skills)  ความรู้  (knowledge)  และทัศนคติ  (attitude)  (SKA)  เหล่านี้สัมพันธ์กับความต้องการและโปรแกรมการเรียนรู้
ในจิตวิทยาการศึกษาได้ให้ความหมายของทักษะ  ความรู้  ทัศนคติ  ดังนี้
Skill           =  psychomotor
Knowledge  =  cognitive
Attitude      =  affective
มีคำถามว่าพฤติกรรมการทำงานจะเปลี่ยนโดยไม่ได้เรียนรู้ได้หรือไม่  ตามทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้  แต่ปัญหาที่ทำให้ตอบยากคือ  เราไม่รู้ว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร  หรือคนเราเรียนรู้ในสิ่งที่ผ่านมาอย่างไร  การเรียนรู้เกิดขึ้นตอนไหน  
กล่าวว่าคนเราใช้ความสามารถเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของความสามารถทั้งหมดที่มี  ซึ่งความสามารถ ศักยภาพที่มีมาจากการเรียนรู้ 2  แบบ  คือ  การเรียนรู้โดยบังเอิญ  (incidental learning)  และการเรียนรู้โดยตั้งใจ (intentional learning)  แต่ละคนจะมีการเรียนรู้ทั้งสองอย่างนี้ผสมผสานอยู่เสมอ  กลั่นกรองผ่านวัฒนธรรมที่เป็นอยู่และบุคลิกภาพของแต่ละคน และส่งผลต่อการกระทำที่แสดงออก(performance)   ซึ่งเป็นการกระทำที่แสดงออกเพียงบางส่วนเท่านั้น
การเรียนรู้ทั้งสองแบบอาจเปลี่ยนการแสดงพฤติกรรมได้  มีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเป็นไปได้  และปัจจัยหลักๆ  คือ บุคลิกลักษณะของแต่ละคน  ที่จะเป็นแรงผลักดันภายในให้คนแต่ละคนแสดงพฤติกรรมที่มีความแตกต่างกัน    ปัจจัยภายนอกซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมที่มีส่วนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงาน  ดังนั้นทุกคนสามารถเรียนรู้ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือไม่

การพัฒนาวัตถุประสงค์การเรียนรู้  (Developing Learning Objectives)
          บางครั้งความต้องการถูกเปลี่ยนมาเป็นวัตถุประสงค์การเรียนรู้   วัตถุประสงค์ที่ดีต้องสะท้อนถึงความจริงของสถานการณ์การเรียนรู้ได้

การเขียนวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Writing Learning Objectives)
          วัตถุประสงค์ที่ดีต้องบอกถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ  ไม่ใช่บอกสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ผลลัพธ์นั้นประสบผลสำเร็จ  วัตถุประสงค์ไม่ควรอธิบายเนื้อหาหรือการปฏิบัติสำหรับการฝึกอบรม  วัตถุประสงค์การเรียนรู้ต้องชี้ให้เห็นถึงผลการกระทำของผู้เรียนเมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรม
          ทางหนึ่งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ของการฝึกอบรม คือการเขียนวัตถุประสงค์การเรียนรู้  เช่น  “เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรม  ผู้เรียนจะสามารถ...”    การเขียนเช่นนี้เป็นการเน้นที่ผู้เรียน  ไม่ใช่ผู้สอน  ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ถูกคาดหวังเมื่อการฝึกอบรมเสริ้จสิ้น
          การเขียนวัตถุประสงค์ประกอบด้วยส่วนประกอบ  3  ส่วนคือ
1.  การกระทำ/พฤติกรรม (Performance)
2.  เงื่อนไข  (Condition)
3.  เกณฑ์  (Criterion) 
การกระทำ/พฤติกรรม (Performance)   คือ  สิ่งที่บอกว่าผู้เรียนจะสามารถทำอะไรได้เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรม  ควรอยู่ในรูปประโยคที่ทำให้สามารถสังเกตเห็นพฤติกรรมและวัดได้  หรือปัจจัยอื่นๆ ที่จะระบุให้ทราบว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นอย่างไร
เงื่อนไข (Condition)  คือการระบุข้อจำกัดในการทำงาน  เช่น  “เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกอบรม  ผู้เรียนสามารถ...ภายใต้...(เงื่อนไข)”  อาจมีเวลามาเป็นเงื่อนไขเช่น  “สามารถให้บริการ 6 โต๊ะ ในช่วงเวลาที่เร่งด่วนและให้บริการ 9 โต๊ะ ในช่วงเวลาปกติ
เกณฑ์  (Criterion)  คือการระบุลักษณะการกระทำที่เป็นที่ยอมรับ  คือ การพิจารณาว่าผู้เรียนจะแสดงผลการทำงานออกมาได้ดีอย่างไร    อาจไม่จำเป็นต้องถึง 100% ในบางงานเพราะจะทำให้เสียเวลา เสียทรัพยากรเกินจำเป็น หากองค์กรไม่ได้ต้องการผลการปฏิบัติดีเลิศขนาดนั้น  ในการเขียนเกณฑ์ต้องระบุทั้งคุณภาพและปริมาณที่ชัดเจนด้วย
หลักการเขียนวัตถุประสงค์อย่างง่ายควรขึ้นต้นด้วยคำกิริยาเช่น  เข้าใจ  ระบุ  ปรับ  กระตุ้น  แบ่ง  เปรียบเทียบ  เลือก  ตรวจสอบ  ออกแบบ  ประมาณการ  อธิบาย  ควบคุม  วิเคราะห์  พัฒนา  สร้างสรรค์  ตระหนัก  แก้ไข  ศึกษา  สังเคราะห์  เป็นต้น

การประเมินผลและการให้ผลย้อนกลับ (Evaluation and Feedback)
เมื่อเขียนวัตถุประสงค์เรียบร้อยแล้ว  ผู้ออกแบบควรตรวจทานวัตถุประสงค์ที่ได้เขียนไว้อีกครั้ง โดยพิจารณาจากการจัดอันดับความสำคัญของความต้องการและปัจจัยต่างๆ  ที่ผู้ออกแบบได้ทำไว้ในตอนต้น

·    กำหนดวัตถุประสงค์ให้มีความสัมพันธ์กับการออกแบบหลักสูตร
การวิเคราะห์ (Analysis) 
          เป็นการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้อีกครั้ง สิ่งที่ควรทำคือ ผู้ออกแบบควรส่งให้ผู้เกี่ยวข้องซึ่งคือ หัวหน้างาน  ผู้จัดการได้ตรวจสอบอีกครั้งหรืออาจเป็นกลุ่มผู้เรียนด้วย  ทั้งนี้ควรทบทวนอีกครั้งว่าวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นตอบสนองต่อปัญหาที่มี ซึ่งเคยสรุปว่าเป็นปัญหาขององค์กรหรือไม่  เนื่องจากอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งและส่งผลต่อปัญหาที่ได้เคยตั้งไว้
          ในการวิเคราะห์วัตถุประสงค์แต่ละข้อ  ผู้ออกแบบควรชี้ให้เห็นว่าสัมพันธ์กับความต้องการของผู้เรียนอย่างไร  ความต้องการแต่ละข้อควรมีวัตถุประสงค์  หรือหากข้อไหนไม่มีวัตถุประสงค์ก็ควรมีเหตุผลประกอบ หรือหากมีวัตถุประสงค์ข้อไหนที่ไม่มีในความต้องการที่ได้ระบุกันไว้  และผู้ออกแบบคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น ก็ควรมีเหตุผลชี้แจ้งไว้ด้วย
          ผู้ออกแบบอาจจะแจ้งให้ทราบว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจไม่เกิดผลตามที่คาดหวัง  ผลการปฏิบัติงานอาจไม่เปลี่ยนอันเนื่องจากข้อจำกัดบางประการ

ผลย้อนกลับ (Feedback)
          ผู้ออกแบบต้องการ feedback จากผู้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่ออกแบบ  ได้แก่  หัวหน้างาน  ผู้จัดการ  ซึ่งบุคคลเหล่านี้  อาจต้องการเวลาในการพิจารณาและตรวจสอบกับกลุ่มพนักงานที่ทำงานดังกล่าว  หน้าที่นี้ควรเป็นของหัวหน้างานจะเหมาะสมกว่าที่ผู้ออกแบบจะทำเอง   อีกประการหนึ่งคือ  ขั้นตอนดังกล่าวต้องมีการประชุมบ่อยครั้งทำให้ได้รับเสียงวิพากษ์ได้  ดังนั้นการประชุมจะจัดก็ต่อเมื่อมีข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดจะเป็นการดีกว่า

การตัดสินใจ (Decision)
คำถามที่มีผลต่อการตัดสินใจในขั้นตอนนี้ได้แก่
1.  วัตถุประสงค์ได้รับการยอมรับหรือไม่ เป็นการตรวจทานว่าปัญหายังคงเดิม  มีอะไรต้องปรับเปลี่ยนหรือไม่ก่อนดำเนินการขั้นตอนถัดไป
2.  วัตถุประสงค์การเรียนรู้ได้รับการยอมรับหรือไม่
  3.  ความต้องการทุกข้อถูกกำหนดอยู่ในวัตถุประสงค์หรือไม่
4.  การจัดอันดับความสำคัญของวัตถุประสงค์ได้รับการยอมรับหรือไม่
5.  วัตถุประสงค์สัมพันธ์กับลักษณะการทำงานหรือไม่
          6.  วัตถุประสงค์สามารถตอบสนองต่อภายในหน่วยงานหรือภายนอกหน่วยงานหรือไม่

  Reference
Leonard Nadler and Zeace Nadler. Designing Training Programs: The Critical Events Model,1994.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม