วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

การพัฒนาหลักสูตรด้วย Critical Event Model (CEM) ขั้นที่ 3


Critical Event Model (CEM)
Leonard Nadler (1994)

ขั้นที่ 3   กำหนดความต้องการของผู้เรียน  (Identify the Needs of the Learner)
เมื่อทราบลักษณะงานและผลสำเร็จที่ต้องการแล้วขั้นต่อไปคือการหาความต้องการของผู้เรียน ตามที่ทราบแล้วว่ามนุษย์มีความแตกต่าง  จุดประสงค์หนึ่งของหลักสูตรฝึกอบรมที่ดี คือการเชื่อมบุคคลกับงานเข้าด้วยกัน
อันดับแรก คือการเข้าใจว่าอะไรทำให้คนเราต้องการทำงาน หรือไม่ต้องการทำงาน  ซึ่งบางครั้งจะพบว่าเป็นเพราะค่านิยมส่วนตัวของพนักงานเองที่จะทำให้งานนั้นดีหรือไม่ดี เช่น การจัดหลักสูตรเทคนิคการขาย  จะสอนแค่เทคนิคการขายแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ เนื่องจากพนักงานขายแต่ละคนก็อาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่สมควรออกไป อันเนื่องจากลักษณะนิสัย ความคิด ค่านิยมแต่ละคน  ซึ่งหลักสูตรที่จัดต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้มากกว่าเพียงแค่ฝึกอบรมแต่เทคนิคเท่านั้น
นักออกแบบหลักสูตรต้องพิจารณาว่าลักษณะของบุคคลกับลักษณะงานไปด้วยกันหรือไม่ เช่น  ถ้าพนักงานชอบพบเจอผู้คน ต้องจัดลักษณะงานที่ได้พบลูกค้าหรือต้องประสานงานกับคนให้ทำ เป็นต้น เพราะไม่เช่นนั้นเราจะเจอปัญหาว่าผลของงานไม่เกิด นั้นคือสาเหตุที่เราต้องเข้าให้ถึง

ความต้องการจำเป็น (Needs)
          คำว่า ความต้องการจำเป็น” (Needs) หมายถึง ช่องว่างระหว่าง  เป้าหมาย” (Goal) หรือสิ่งที่ถูกคาดหวัง กับสิ่งที่เป็นจริง    ตามปกติความต้องการจะไม่ปรากฎถ้าเราไม่รู้ว่าขาดสิ่งนั้น  นั่นเป็นเหตุผลที่  CEM  มีขั้นตอน 2 ขั้นก่อนการหาความต้องการของผู้เรียน  อันดับแรก ความต้องการขององค์กรจะถูกวัดผ่านเป้าหมาย (Goal)  และจะเชื่อมไปถึงลักษณะการทำงานของพนักงาน ซึ่งจะกลายเป็นความต้องการของผู้เรียนในที่สุด  
          ผู้ออกแบบหลักสูตรต้องแยกให้ออกระหว่าง  “needs”  และ “wants”   
          wants”  คือ  ความต้องการที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน เป็นในลักษณะจัดไว้ก็ดีได้ประโยชน์ หรือที่ไหนๆ เขาก็จัดหลักสูตรนี้กัน  ดังนั้น การจัดหลักสูตรที่ตอบสนอง “wants” ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้
          needs”  คือ  ความต้องการจำเป็น   มี  3  ประเภท
·   ความต้องการพื้นฐาน (Stated needs)  เป็นความต้องการที่เห็นได้ชัด เช่น ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย ต้องมีทักษะการขาย การมีมนุษย์สัมพันธ์ เป็นความจำเป็นต่อการทำงานเพื่อให้สามารถทำงานได้
·   ความต้องการโดยแฝง (Implied needs)  เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในองค์กร แล้วทำให้เกิดความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เช่น  กระบวนการทำงาน  เทคโนโลยี วัสดุ อุปกรณ์  เป็นต้น
·   ความต้องการอย่างแรงกล้า (Strong needs)  เป็นความต้องการจากแรงขับภายในอย่างยิ่งยวดของผู้เรียนที่ต้องการจะเรียนเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้การทำงานดีขึ้น
การที่ผู้ออกแบบทราบลักษณะงานที่พนักงานทำจากขั้นตอนที่ 2   จะทำให้เกิดความชัดเจนว่าอะไรคือ “needs”  อะไรคือ “wants”  แม้ wants จะสามารถพัฒนางานได้เช่นกัน แต่เป็นเรื่องในอนาคต  ในขณะที่  needs  จะเป็นประโยชน์กับปรับปรุงการทำงานในปัจจุบันมากกว่า

การรวบรวมข้อมูล  (Gathering Data)
          ผู้ออกแบบหลักสูตรบางคนพยายามทำความเข้าใจและกำหนดลักษณะการปฏิบัติงานและความต้องการของผู้เรียนไปพร้อมๆ กัน  เพื่อประหยัดเวลา  แต่ความยากคือกลุ่มตัวอย่าง (Sampling)เนื่องจาก
ผู้ออกแบบหลักสูตรต้องหาความต้องการของผู้เรียนโดยดูจากลักษณะงานที่ทำจริงๆ  อาจต้องเข้าไปสังเกตในสถานที่จริง  หากไม่สามารถทำได้ จะต้องมีการใช้เทคนิคอื่นๆ เข้าช่วย  เช่น  การใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มใกล้เคียงของจริงโดยทำอย่างไม่มีอคติ  การศึกษาจากใบพรรณนาหน้าที่งาน การสัมภาษณ์หัวหน้างาน เป็นต้น
ถ้ากลุ่มผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มใหญ่  เราสามารถหาความต้องการที่เป็นลักษณะร่วม (common)  โดยใช้วิธีง่ายๆ  เช่น  การนำรายชื่อทั้งหมดมาเรียงตามตัวอักษรแล้ว  แล้วสุ่มเลือกออกมา ทั้งนี้ให้คำนึงถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อกลุ่มประชากรด้วย  เช่น ในตำแหน่ง supervisor  มีอยู่ในหลายแผนกแต่แผนกไหนที่มีความสำคัญก็ต้องคำนึงถึงส่วนนั้นมากกว่าส่วนอื่น

แหล่งข้อมูลและวิธีการ
          อาจใช้เหมือนกับขั้นตอนก่อนหน้านี้ได้ (ขั้นที่ 2)  แต่ก็มีทั้งผลดีและผลเสีย  ข้อดีคือ ถูกทำไว้แล้ว  สามารถใช้คุณลักษณะ (competencies) เหมือนเดิมได้  ข้อเสียคือ  การใช้แหล่งข้อมูลและวิธีการเดียวกันอาจทำให้มีข้อผิดพลาดได้เพราะวัตถุประสงค์แตกต่างกัน แหล่งข้อมูลในขั้นตอนนี้ต้องเฉพาะเจาะจง  ต้องเป็นบุคคลที่ทำงานนั้นจริงๆ 
          ไม่ใช่  “What should be”  แต่เป็น  “What is”

การบันทึกข้อมูล
          เมื่อหลักสูตรถูกออกแบบ  จำเป็นต้องมีการจัดเก็บข้อมูลและทำรายงาน  รายงานควรทำออกมาในลักษณะผลรวมของกลุ่มมากกว่าจะแยกเป็นรายบุคคล  
          ปัจจัยทางด้านเวลาบางครั้งเป็นปัญหาในการออกแบบหลักสูตร  ถ้าการออกแบบใช้เวลานาน  ข้อมูลที่มีอยู่อาจเปลี่ยนไปถ้าพนักงานบางคนที่ให้ข้อมูลไม่ได้ทำงานในตำแหน่งนั้นแล้ว ทั้งนี้เพราะความต้องการบางครั้งเราสรุปมาจากพนักงานแต่ละคน ทำให้ผู้ออกแบบต้องพิจารณาการออกแบบหลักสูตรใหม่

การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal)
          ผลของการประเมินผลการปฏิบัติงานสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลสำหรับการออกแบบหลักสูตรได้
หัวหน้างาน (Supervisor)
          เป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่มักขอให้จัดการฝึกอบรม  ดังนั้นหัวหน้างานจึงมีข้อมูลที่จะสนับสนุนการจัดฝึกอบรมได้  ทั้งนี้ผู้ออกแบบหลักสูตรต้องหาตัวอย่างของพฤติกรรม  หรือจากการสังเกตเพื่อชี้ให้เห็นถึงความต้องการ  ปัญหาที่พบคือ HRD มักถูกวัดผลว่ามีจำนวนพนักงานเท่าไหร่ที่ถูกพัฒนา  โดยลืมประเด็นของการจัดฝึกอบรมเพื่อแก้ไขปัญหาหรือเพื่อสร้างโอกาส  ดังนั้นผู้ออกแบบหลักสูตรต้องให้ความใส่ใจกับความต้องการของผู้เรียนจริงๆ มากกว่าจะสนใจว่าต้องจัดหลักสูตรให้ได้เป็นจำนวนมาก

Employee-learner
          เป็นการใช้พนักงานเป็นแหล่งข้อมูลในการหาความต้องการ  ถ้าผู้ออกแบบหลักสูตรพบว่าความต้องการเหมาะกับคนเพียงคนเดียวมากกว่าทั้งกลุ่ม อาจไม่จำเป็นต้องจัดฝึกอบรมเพราะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียไป สิ่งที่ผู้ออกแบบต้องทำอย่างมากคือ  ต้องทราบว่าพนักงานทราบหรือไม่ว่าความคาดหวังในงานที่เขาทำมีอะไรบ้าง เพราะการที่พนักงานทำงานไม่ได้ อาจเป็นเพราะไม่ทราบความคาดหวังในการการปฏิบัติงาน 
          ผู้ออกแบบจำเป็นต้องคำนึงถึงประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผ่านมา  รวมถึงสไตล์การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย  ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้จะได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูล และจะถูกนำไปใช้ในการสร้างหลักสูตร

วิธีการ (Methods)
        วิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อให้ได้ความต้องการได้แก่
1.        การประชุม  (Meeting) ควรเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทำงาน  ผลที่ได้จากการประชุมนำมาหาความต้องการจากบุคคลกลุ่มหนึ่ง  อาจสามารถนำไปปรับเป็นแนวทางกับกลุ่มที่ผลการปฎิบัติงานต่ำกลุ่มอื่น  ในสหรัฐอเมริการนิยมใช้  วิธีการให้พนักงานหลากหลายระดับเข้าร่วมประชุม (Participative Management)  หรือในญี่ปุ่นใช้วิธีที่เรียกว่า “Quality Circles”
      วิธีการควรสั้นและตรงประเด็น  ไม่ควรละเอียดหรือกว้างจนเกินไป จุดที่ควรเน้นคือการเปรียบเทียบความคาดหวังที่มีในงานกับสิ่งที่ทำได้จริงและหาเป็นความต้องการออกมา
2.        การสัมภาษณ์  (Interview)  สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย (Potential learner)  ต้องหาให้ได้ว่าเป็น stated, implied, or strong needs  อาจไม่ต้องสัมภาษณ์ทั้งหมดก็ได้ คัดกลุ่มตัวอย่างได้แต่ก็ไม่ควรเลือกเฉพาะคนที่ว่างเท่านั้น เพราะอาจไม่ใช่ตัวแทนกลุ่มที่ดี
3.        การสังเกต (Observation)  ขณะพนักงานปฏิบัติงาน
4.        แบบสอบถาม  (Questionnaire)  ใช้ในกรณ๊ที่ไม่สามารถสังเกตพฤติกรรมได้
5.        การทดสอบ (Tests)  จุดประสงค์หนึ่งของการทดสอบไม่ได้เพื่อกำหนดความต้องการแต่เพื่อประเมินศักยภาพในการทำงานมากกว่า  หรือใช้การสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation)  เป็นสถานการณ์ที่จำลองสถานการณ์การทำงานจริง  ไม่มีลงโทษหากทำผิด โดยใช้เป็นรูปแบบของการทดสอบ  หรือการใช้กรณีศึกษา (case study)  เป็นต้น

การหาความต้องการ  (Listing of Needs)
               วิธีการในการหาความต้องการอย่างหนึ่งเรียกว่า “Subtraction method”   เป็นการหาความแตกต่างระหว่างผลการปฏิบัติงานที่คาดหวัง และงานที่สามารถทำได้จริง  เพื่อให้ได้ความต้องการออกมาและใช้เป็นข้อมูลสำหรับการออกแบบหลักสูตร
Formular of Needs
                  P – KD = N
                   P        =  Job Performance
        KD      =  What Learner already knows or does
        N        =  Needs
                   
การประเมินผลและการให้ผลย้อนกลับ (Evaluation and Feedback)
          การวิเคราะห์    ขั้นตอนนี้เพื่อดูว่าความต้องการที่ได้มาสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานหรือไม่   ถ้าไม่สัมพันธ์กันต้องกลับไปขั้นที่ 2  เพื่อดูลักษณะการทำงานใหม่  
เมื่อได้ความต้องการมาแล้วนำมาจัดเป็นหัวข้อ เช่น  การสื่อสาร  ความรู้ในการทำงาน  เป็นต้น  ทั้งนี้ให้ใส่หัวข้อย่อยที่อยู่ในหัวข้อหลักด้วย เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบหลักสูตรได้อย่างตรงประเด็น
          และถ้ามีความต้องการรายบุคคลเป็นพิเศษให้โน๊ตไว้ในขั้นตอนนี้   ในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบยังไม่ต้องตัดสินว่าความต้องการข้อไหนต้องนำไปจัดอบรม ซึ่งจะเป็นกระบวนการในขั้นตอนถัดไป

การให้ feedback  
          บุคคลกลุ่มที่ให้ข้อมูลควรเป็นผู้ให้ feedback เช่น  กลุ่มหัวหน้างาน  trainee  เป็นต้น  ความต้องการที่ได้จะนำมาแสดงให้กลุ่มนี้ได้พิจารณาและแสดงความคิดเห็น เมื่อทราบความต้องการแล้วหัวหน้างานจะแจ้งให้พนักงานที่มีความต้องการอบรมคนนั้นทราบเท่านั้น โดยพนักงานคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาไม่จำเป็นต้องทราบก็ได้

การตัดสินใจ (Decision)
          ก่อนจะไปถึงกระบวนการต่อไป  ผู้ออกแบบควรต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้ก่อนเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าควรมีการฝึกอบรมหรือไม่  เช่น
    1.     ถ้าทราบความต้องการแล้ว  ผลการปฏิบัติงานจะดีขึ้นและเป็นที่ยอมรับหรือไม่
เป็นไปได้หรือไม่ที่เมื่อตอบสนองความต้องการแล้ว แต่ไม่เกิดผลอะไรต่อการปฏิบัติงานเท่าที่ควร คือ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นเช่นนี้  ก็ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกอบรม
           2.  ความต้องการสำคัญอย่างไร  เนื่องจากการจะไปสู่การจัดอบรมจะมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การฝึกอบรมมีความคุ้มค่าเพียงไร
        3.  ลักษณะงานที่ทำควรต้องมีการปรับใหม่หรือไม่  คือ ผลการทำงานสามารถทำให้ดีขึ้นได้จากการปรับกระบวนการทำงานใหม่หรือไม่
       4.  ต้องมีการจัดสรรงานใหม่หรือไม่  เนื่องจากพนักงานบางคนอาจไม่ได้ทำงานที่เหมาะสมกับความสามารถของตน การย้ายไปทำในส่วนงานที่เหมาะสมสามารถทำให้ผลการทำงานดีขึ้นได้  อาจไม่จำเป็นต้องมีการฝึกอบรม
           5.  พนักงานควรถูกโอนย้ายไปทำงานในส่วนอื่นที่เหมาะสมกว่า มากกว่าการฝึกอบรมหรือไม่
           6.  ผู้เรียนมีความพร้อมในการฝึกอบรมหรือไม่
Reference
Leonard Nadler and Zeace Nadler. Designing Training Programs: The Critical Events Model,
1994.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม