วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

การพัฒนาหลักสูตรด้วย Critical Events Model (CEM) ขั้นที่ 8

Critical Event Model (CEM)
-Leonard Nadler- 1994


ขั้นที่  8   การบริหารจัดการฝึกอบรม  (Conducting Training)
           การจัดฝึกอบรมเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น  และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เข้าอบรม (Participants)  โดยการคัดเลือกผู้เข้าอบรมมักมาจากหัวหน้างานคัดเลือกพนักงานที่มีปัญหาที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรม  แต่บางครั้งหัวหน้างานก็อาจส่งพนักงานที่ไม่มีความจำเป็นต้องอบรมเข้าร่วมแต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะการที่พนักงานจากหน่วยงานเดียวกันมาเข้าอบรมด้วยกันจะได้รับประสบการณ์เดียวกันและเห็นร่วมกันถึงสิ่งที่คาดหวัง  บางกรณีพนักงานได้รับการอนุญาตให้เป็นผู้เลือกเข้าอบรมเอง  ดังนั้นหลักสูตรเหล่านี้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนปัญหาเป็นหลักของผู้เรียน  แต่กระนั้นผู้เข้าอบรมก็ควรทราบวัตถุประสงค์และสิ่งที่คาดหวังของหลักสูตร  มิฉะนั้นจะไม่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้
           ผู้ออกแบบควรตรวจสอบอีกครั้งว่าความต้องการการฝึกอบรมยังคงเหมือนเดิมกับที่ได้กำหนดไว้ในตอนแรก  โดยการตรวจรายชื่อของผู้เข้าอบรมที่ส่งมาให้ก่อนหน้านั้น และรายชื่อผู้มาเข้าอบรมจริงๆ  หากเป็นคนๆ เดียวกัน  หมายความว่า  ความต้องการยังคงเดิม  หรือความต้องการนั้นอาจจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
           นอกจากนี้  การเตือนผู้เข้าอบรมก่อนการอบรมก็จำเป็นแม้หัวหน้างานจะส่งรายชื่อมาให้ HRD แล้วก็ตาม  และควรมีกระบวนการให้ผู้เข้าอบรม feedback กลับมาด้วย  และบางหลักสูตรต้องการให้ผู้เข้าอบรมได้เตรียมอ่านเอกสาร  คู่มือล่วงหน้าก่อนการอบรมซึ่งเป็นเทคนิคที่ดี
           การเตรียมความพร้อมของวัสดุ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ รวมถึงผู้ที่ต้องดูแลการฝึกอบรม  ควรเป็นผู้ที่อยู่ใน HRD  และมีประสบการณ์ในหลักสูตรที่จัดหรือเข้ากับลักษณะของผู้สอนได้
           การเปิดการฝึกอบรมไม่มีรูปแบบที่แน่นอนขึ้นอยู่กับสถานการณ์  บางครั้งอาจเริ่มการเรียนการสอนเลย  บางครั้งมีกิจกรรมก่อน  บางองค์กรมีมาตรฐานที่แน่นอนว่าต้องมีขั้นตอนการเปิดฝึกอบรมอย่างไร
การจัดบรรยากาศ  (Climate setting)
           เมื่อเริ่มหลักสูตรบรรยากาศเป็นสิ่งสำคัญ  อาจเริ่มด้วยกิจกรรมที่ทำให้ผู้เข้าอบรมรู้สึกเป็นกันเอง  ผ่อนคลายก่อน  เช่นการแจ้งกำหนดการ  วัตถุประสงค์ สิ่งที่คาดหวัง  ไม่ควรมีการกล่าวเปิดที่ยาวเกินไป หรือการเปิดเทปการกล่าวเปิดของ CEO   ที่ซ้ำกันทุกครั้ง  หรืออาจเปิดการอบรมด้วยหัวหน้างานที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งความคาดหวังที่ต้องการ 
           หรือเป็นการเปิดแบบไม่เป็นทางการเช่น  มีการรับประทานชา กาแฟ  อาหารเช้าก่อนการอบรมเพื่อให้สร้างบรรยากาศ  หรือการรับประทานอาหารเย็นก่อนการอบรมโดยมากใช้กับระดับผู้บริหาร
           การเปิดหลักสูตร  ผู้เข้าอบรมจำเป็นต้องทราบ 3  เรื่องคือ
  1.  วัตถุประสงค์  ของหลักสูตร  พฤติกรรมที่คาดหวัง
  2.  ความต้องการ (requirement)  เรื่องเวลาการเข้าร่วม  การมีส่วนร่วม  งานที่จะมอบหมายต่างๆ 
  3.  ความคาดหวังร่วมกัน  สิ่งที่ผู้สอนคาดหวังจากผู้เรียน  ผู้เรียนคาดหวังอะไรจากผู้สอน 

ทั้งนี้อาจมีเหตุการณ์ไม่คาคคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น  วิทยากรมาไม่ตรงเวลา  อาจด้วยรถติด หรือมาไม่ได้    ซึ่งบางครั้งอาจแก้ไขสถานการณ์ได้และหากไม่ได้อาจต้องยกเลิกการจัดฝึกอบรมออกไปก่อน
ผู้ดูแลการจัดฝึกอบรม  (The Program Director)
           ควรเป็นคนจาก HRD  เพื่อดูแลผู้เข้าอบรมและผู้สอน  และดูว่าการสอนเป็นไปตามที่ได้วางแผนไว้หรือไม่  บางครั้ง program director  และผู้ออกแบบเป็นคนๆ เดียวกัน แต่หากเป็นคนละคนกัน  program director  ต้องรายงานปัญหาต่างๆ ให้ ผู้ออกแบบทราบเพื่อแก้ไขปัญหา
           Program director  ต้องทำทุกอย่างให้ผู้เรียนสนใจในกระบวนการเรียนรู้  และดูว่าจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรเพื่อให้ไม่สิ่งใดขัดจังหวะการเรียนรู้
การประเมินผลหลักสูตร  (Evaluating the program)
           ควรมีการประเมินผลเป็นระยะระหว่างหลักสูตร  โดยใช้  formative evaluation เพื่อทราบว่าเกิดการเรียนรู้หรือไม่  และเมื่อจบหลักสูตรควรประเมินด้วย summative evaluation  เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับหลักสูตรในอนาคต
           อาจมีการนำ pre-test  และ post-test  มาใช้  โดย pre-test  ใช้ก่อนการอบรมแต่ควรระวังเรื่องบรรยากาศการอบรมและอาจเกิดความรู้สึกทางลบ 
           การประเมินโดย post-test  ใช้สำหรับประเมินการเรียนรู้เท่านั้น  ไม่ใช่สำหรับการปฏิบัติงาน  แต่ post-test  ที่ดีควรให้ใกล้กับความคาดหวังในการปฏิบัติงานมากที่สุด  เพราะการปฏิบัติงานไม่สามารถวัดได้จนกว่าผู้เข้าอบรมจะกลับไปทำงานและแสดงพฤติกรรมนั้น  และจะถูกประเมินโดยหัวหน้างานซึ่งผลการประเมินควรจะถูกส่งมาที่ HRD ด้วย
การปิดหลักสูตร  (Closing the program)
           มีความสำคัญพอๆกับการเปิดหลักสูตรที่ควรจะต้องสร้างบรรยากาศที่ดีให้เกิดขึ้น  ไม่ควรให้จบโดยยังมีความสับสนอยู่  หรือให้ประเมินผลแล้วกลับได้พร้อมความงุนงง  ควรมีการวางแผนที่ดีและมีกิจกรรมที่สรุปถึงประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับและพฤติกรรมอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนไปหลังการอบรมนี้
Recognition for participants
           การให้ประกาศนียบัตรเป็นการสร้างการจดจำสำหรับผู้เข้าอบรม  หรืออาจเป็นจดหมายจากผู้บริหารก็ได้  แต่ควรมีเงื่อนไขว่าหากเข้าตามเวลาที่กำหนดจึงจะได้รับ  และหัวหน้างานของผู้เข้าอบรมควรร่วมในพิธีปิดนี้ด้วย
Recognition for instructor
           สำหรับวิทยากรภายนอกการให้คุณค่าอาจทำได้โดยการมีจดหมายขอบคุณจาก HRD manager  ผลการประเมินสามารถนำมาแสดงให้ทราบได้
           สำหรับวิทยากรภายในการแสดงให้เห็นถึงคุณค่าเป็นสิ่งสำคัญมาก  อาจเป็นจดหมายขอบคุณส่งถึงหัวหน้างาน  หรือมีงานเลี้ยงที่ผู้บริหารระดับมาร่วมด้วย หรือการให้ประกาศนียบัตรก็เป็นสิ่งที่แสดงความสามารถ  ทุ่มเทที่มีต่อองค์กร
การประเมินผลและการให้ผลย้อนกลับ  (Evaluation and Feedback)
           สิ่งที่ต้องนำไปวิเคราะห์อย่างมากคือ  ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร  การรายงานผลสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบทั้งในรูปสถิติ  แต่ไม่ควรนำเสนอรายงานที่เสนอความสามารถ (competency)  ในลักษณะสถิติ  เพราะจะเข้าใจยาก
           HRD  ควรเข้าไปติดตามผลหลังการฝึกอบรมว่าการปฏิบัติงานมีการเปลี่ยนแปลงตามที่คาดหวังหรือไม่   ผู้ออกแบบสามารถใช้ขั้นตอนนี้ประเมิน CEM  ไปในตัว

           
Feedback  ที่ได้จากการจัดฝึกอบรมควรส่งให้ส่วนต่างๆ ได้ร่วมรับรู้  เช่น  หัวหน้างาน  ผู้สอน  ผู้เรียน  แม้จะมีการประเมินที่เป็นทางลบ แต่ก็ควรทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากหัวหน้างานบางคนอาจไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้  และจากผลการประเมินจะทำให้คาดการณ์การจัดฝึกอบรมในครั้งต่อไปว่าควรปรับอย่างไรบ้าง

คำถามที่ควรถูกถามในขั้นตอนนี้ได้แก่
1.   จากหลักสูตรที่ได้จัดไปสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่
2.   ต้องมีการจัดหลักสูตรนี้ซ้ำสำหรับความต้องการนี้หรือไม่   ใช้สำหรับหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตร pilot  และต้องจัดหลักสูตรนี้ให้กับกลุ่มอี่นอีก
           3.  ถ้าต้องจัดหลักสูตรนี้ซ้ำ  ต้องปรับหลักสูตรหรือไม่

Reference
Leonard Nadler and Peace Nadler. Designing training programs:The Critical Events Model. 1994.





การพัฒนาหลักสูตรด้วย Critical Events Model (CEM) ขั้นที่ 7

Critical Event Model (CEM)
-Leonard Nadler- 1994


ขั้นที่ 7   การเลือกสรรทรัพยากรในการสอน    (Obtain Instructional Resources)

ทรัพยากรต่างๆ เพื่อให้การสอนสมบูรณ์ พิจารณาจาก  ด้านกายภาพ  ด้านการเงิน  ด้านบุคคล
           ด้านกายภาพ  (Physical Resources)  ได้แก่  อุปกรณ์  เช่น  audiovisual  โปรเจ็คเตอร์  สไลด์ วัสดุอื่นๆ  เช่น  กระดาษ  ปากกา  คู่มือ หรือ  สิ่งอำนวยความสะดวก  เช่น  พื้นที่ว่างในห้อง  ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับหลักสูตร
           ด้านการเงิน  (Financial Resources)  งบประมาณสำหรับการจัดฝึกอบรม ควรต้องมีการกำหนดให้เหมาะสมกับหลักสูตร  และคำนึกถึงความสามารถในการจ่ายขององค์กรด้วย
           ด้านทรัพยากรบุคคล (Human Resources)  ได้แก่ ผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator)  บุคลากรที่คอยอำนวยความสะดวกในการจัดหลักสูตรนอกเหนือจากผู้ออกแบบ คนนี้ไม่ควรเป็นผู้สอนที่ทำหน้าที่ทุกอย่าง  ซึ่งบุคคลคนนี้ควรมาจากหน่วยงาน HRD 
           นอกจากนั้นได้แก่ ผู้สอน  ซึ่งอาจเป็นบุคคลภายใน หรือภายนอกองค์กรก็ได้ พิจารณาตามความเหมาะสม  สำหรับผู้เรียนที่กลุ่มที่ผู้ออกแบบต้องทราบลักษณะของผู้เรียน เพื่อจะช่วยผู้สอนในการเตรียมอุปกรณ์และสื่อได้อย่างเหมาะสม

          นอกจากนี้ในขั้นตอนนี้การทำ checklist  ก็เป็นสิ่งสำคัญ  โดยรายการใน checklist  ได้แก่
1.     กำหนดการในหลักสูตรที่จัดเป็นอย่างไร
2.     ผู้เรียนพร้อมแล้วหรือไม่ เป็นกลุ่มใด สื่อสารอย่างไร
3.     สิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ที่จำเป็นพร้อมหรือไม่
4.     ผู้สอนเป็นใคร การติดต่อประสานงานเรียบร้อยแล้วหรือไม่
5.     ผู้สอนต้องการข้อมูลหรือข้อแนะนำใดๆ ก่อนเริ่มสอนจริงหรือไม่

อุปกรณ์และวัสดุ
ทำ Checklist ให้ละเอียดเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และฉุกละหุกในวันจัดงาน
1.    รายการของที่ต้องซื้อ
2.    รายการของที่ต้องทำเอง
3.    รายการของที่ต้องยืม
4.    กำหนดการแต่ละช่วงได้เตรียมวัสดุอุปกรณ์แล้วหรือยัง

  งบประมาณ
1.    ประมาณการงบประมาณ
2.    มีอะไรบ้างที่ต้องใช้งบประมาณ
3.    การจัดฝึกอบรมจะคุ้มค่าหรือไม่
4.    ใครรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
5.    มีทางเลือกอื่นเตรียมไว้บ้างหรือไม่  กรณีที่องค์กรไม่สนับสนุนค่าใช้จ่าย

การประเมินผลและให้ผลย้อนกลับ  (Evaluation and Feedback)
           การประเมินในขั้นนี้ควรมีบุคคลจากหลายหลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ในเรื่องของแผนการสอน วัตถุประสงค์ หลักสูตร ที่จะเกี่ยวข้องกับข้อจำกัดของทรัพยากรและงบประมาณที่ใช้ เพราะหากทรัพยากรมีจำกัด อาจต้องปรับแผนการสอนให้สอดคล้องกัน

คำถามที่จะช่วยในการตัดสินใจในขั้นตอนนี้ได้แก่
1.  ค่าใช้จ่ายได้รับการอนุมัติหรือไม่
2.  อุปกรณ์ต่างๆ  พร้อมหรือไม่
3.  มีรายชื่อกลุ่มผู้เรียนเป็นใครบ้าง  เพื่อดูว่าความต้องการที่ควรจะเป็น กับที่ผู้ออกแบบได้
    กำหนดไว้ตรงกันมากน้อยแค่ไหน 
4.  ผู้สอนได้ถูกมอบหมายให้ทราบว่าต้องสอนแล้วหรือยัง
5.  หลักสูตรการฝึกอบรมนี้จะแก้ปัญหาได้หรือไม่

Reference
Leonard Nadler and Zeace Nadler. Designing Training Programs:The Critical Events Model,1994.

การพัฒนาหลักสูตรด้วย Critical Events Model (CEM) ขั้นที่ 6


Critical Events Model (CEM)
Leonard Nadler, 1994


ขั้นที่ 6   การเลือกกลยุทธ์การสอน  (Select Instructional Strategies)

           วัตถุประสงค์ของขั้นนี้คือผู้ออกแบบสามารถ:
·      เลือกเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับหลักสูตรที่จัด ผู้เรียน  วิธีการสอนและองค์กรได้
·      ปรับแก้แผนการสอน ให้ตรงกับความต้องการ สอดคล้องกับเทคนิคการสอนได้มากที่สุด
คำว่า กลยุทธ์  นี้  เป็นสถานการณ์การเรียนรู้ที่ผสมผสาน วิธีการ เทคนิค  อุปกรณ์  สื่อที่หลากหลาย และทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้

ปัจจัยที่นำมาใช้เลือกกลยุทธ์การสอน
          การที่เราจะใช้กลยุทธ์การสอนแบบใดนั้น มีปัจจัยสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบ โดยตารางการนำเสนอต่อไปนี้เป็นปัจจัยที่มีความตรงข้ามกันเพื่อง่ายในการทำความเข้าใจ ดังนี้
ปัจจัยในการพิจารณาเลือกกลยุทธ์การสอน
ผู้สอนเป็นศูนย์กลาง (Instructor centered)
รายบุคคล (Individual)
นามธรรม (Abstract subject matter)
เรียนรู้ด้วยตนเอง (Self instructional)
การสอนจากผู้สอน (Didactic)
ประสบการณ์ของผู้เรียนน้อย(Low learner experience)
ใช้ระยะเวลาสั้นในการประยุกต์ (Short time to apply)
ใช้ระยะเวลานานในการเรียนรู้ (Long time for learning)
ความสามารถของผู้สอนน้อย (Low instructor competence)
แรงจูงใจของผู้เรียนต่ำ (Low student motivation)
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner centered)
เป็นกลุ่ม(Group)
รูปธรรม (Concrete subject matter)
เรียนเป็นกลุ่ม (Group learning)
จากประสบการณ์ (Experiential)
ประสบการณ์ของผู้เรียนมาก(High learner experience)
ใช้ระยะเวลานานในการประยุกต์ (Long time to apply)
ใช้ระยะเวลาสั้นในการเรียนรู้ (Shot time for learning)
ความสามารถของผู้สอนน้อย (High instructor competence)
แรงจูงใจของผู้เรียนสูง (High student motivation)

           ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเลือกกลยุทธ์การสอน เช่น เมื่อวิเคราะห์แล้วประสบการณ์ของผู้เรียนน้อย การจะเลือกเทคนิคการสอนหากจะให้ทำ Case Study แล้วให้วิเคราะห์จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา อาจจะได้ความคิดเห็นที่ไม่แตกฉานมากนัก  ดังนั้น หากพื้นความรู้ยังไม่แน่น วิธีแรกคือ ผู้สอนเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดความรู้ และฝึกทำแบบฝึกหัด เป็นต้น ทั้งนี้พิจารณางบประมาณและวัฒนธรรมองค์กรประกอบด้วย
           ผู้สอน  เป็นส่วนสำคัญในการเลือกเทคนิคการสอนเช่นกัน ถ้าผู้ออกแบบทราบคุณสมบัติความสามารถของผู้สอนจะสามารถคัดเลือกเทคนิควิธีที่เหมาะสมได้
           
           บางครั้งผู้เรียนรู้สึกตึงเครียดและไม่เข้าร่วมกิจกรรม  เราสามารถยืดหยุ่นได้เพื่อดึงให้ผู้เรียนเข้าร่วม  เช่น  การทำกิจกรรมแสดงบทบาทสมมุติ โดยทั่วไปจะไม่มี script ให้ แต่อาจจะมี script  ให้เพื่อให้ผู้เรียนผ่อนคลายก่อนจะดึงเข้าสู่กิจกรรมอื่นๆ  ทั้งนี้เมื่อคัดเลือกเทคนิควิธีได้แล้วนำไปเขียนในแผนการสอนต่อไป

การประเมินผลและการให้ผลย้อนกลับ (Evaluation and Feedback)
           วัตถุของการประเมินผลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
·       เลือกเทคนิคการสอนที่เหมาะสมกับหลักสูตร ผู้เรียน  ผู้สอนและองค์กร
·       ปรับแก้แผนการสอน ให้ตรงกับความต้องการสอดคล้องกับเทคนิคการสอนมากที่สุด

           Tips : การเลือกเทคนิคการสอน  ผู้ออกแบบอาจเลือกเทคนิคที่สนใจออกมาแล้วเขียนเหตุผลว่าเหตุใดจึงเลือกเทคนิคนี้ จะทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นและจะเป็นประโยชน์สำหรับขั้นตอนถัดไป
           การ feedback  อาจจะให้กลุ่ม HRD  ช่วย feedback  แผนการสอนที่ผู้ออกแบบได้ทำ หรือจะให้กลุ่มหัวหน้างานหรือผู้สอน  ช่วย feedback ด้วยก็ได้ จะทำให้ได้มุมมองที่เป็นประโยชน์มากขึ้น

           การตัดสินใจที่ผู้ออกแบบต้องตัดสินใจในขั้นตอนนี้ โดยผ่านคำถามดังนี้
1.  เทคนิคการสอนเหล่านี้เหมาะกับหลักสูตรหรือไม่
2.  ถ้าแผนการสอนถูกนำมาใช้จะตอบวัตถุประสงค์หรือไม่
3.  แผนการสอนตอบสนองต่อความต้องการองค์กรหรือไม่
4.  แผนการสอนสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานปัจจุบันหรือไม่
5.  ถ้าจัดอบรมตามแผนการสอนนี้จะแก้ปัญหาได้หรือไม่
           6.  เทคนิคการสอนที่เลือกมาจะนำไปใช้ได้หรือไม่

Reference
Leonard Nadler and Zeace Nadler. Designing Training Programs:The Critical Events Model,1994.

การพัฒนาหลักสูตรด้วย Critical Event Model (CEM) ขั้นที่ 5

Critical Events Model
Leonard Nadler, 1994

ขั้นที่  5   การสร้างหลักสูตร  (Build Curriculum)
          เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้  ผู้ออกแบบจะสามารถ
               1. พัฒนาหัวข้อการเรียนรู้ให้ตอบสนองวัตถุประสงค์ได้
1.    กำหนดลำดับการเรียนรู้ได้

คำศัพท์สำคัญ
          หลักสูตร  (Syllabus)  ความหมายโดยทั่วไปคือ  หัวข้อเนื้อหาที่ต้องเรียนรู้ จะประกอบด้วยหัวข้อหลัก  หัวข้อย่อย และอาจมีส่วนประกอบย่อยๆ ลงไปอีก  ไม่ได้ระบุว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เพียงแต่บอกว่าต้องเรียนรู้อะไรบ้าง  บางครั้งมีความหมายเกือบเหมือน“curriculum”  ซึ่งคนจะใช้สลับกันไปมา
          แผนการสอน (lesson plan)  จะระบุว่าผู้สอนจะสอนอะไรบ้างในหลักสูตรจะมีลักษณะเหมือนเป็น roadmap  ช่วยผู้สอนและผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์
          กลยุทธ์การสอน  (Instructional strategies)  หมายถึง วิธีการ เทคนิคสำหรับการสอน  ทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้

ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theories of Learning)
          หลักสูตรต้องมีทฤษฎีการเรียนรู้เป็นพื้นฐาน ซึ่งนักออกแบบควรมีความรู้ในทฤษฎีการเรียนรู้และสามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ตัวแปรที่นำมาพิจารณา   (Variables to be considered)
          ตัวแปร คือ ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้  ซึ่งบางครั้งก็ยากที่จะกำหนด  โดยตัวแปรที่พบ ได้แก่
o ผู้เรียน (Learner)  ที่มีประสบการณ์มาก่อน บางครั้งผู้ออกแบบไม่ทราบว่าผู้เรียนมีประสบการณ์มาอย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้ในการออกแบบหลักสูตร
o ผู้สอน (Instructor)  ธรรมชาติและลักษณะของผู้สอน
o ลักษณะทางภูมิศาสตร์  (geography)  หรือการติดต่อพูดคุยกันมากน้อยเพียงใดระหว่างผู้ออกแบบและผู้สอน  

การคัดเลือกเนื้อหา  (Selecting content)
          ผู้ออกแบบควรมีความรู้อย่างลึกซึ้งว่าผู้ใหญ่มีการเรียนรู้อย่างไรรวมถึงทราบกระบวนการ CEM หรือ model อื่นที่เหมาะสม  และในการคัดเลือกเนื้อหาควรมีบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ช่วยพิจารณาด้วย เป็นได้ทั้ง  บุคคลภายในองค์กร และภายนอกองค์กร
          บุคคลภายใน (Internal people)  เป็นบุคคลที่อยู่ในองค์กร  ที่จะช่วยผู้ออกแบบคัดเลือกเนื้อหา โดยต้องทำงานควบคู่กับผู้ออกแบบ  และควรมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ สามารถโยงเนื้อหากับงานที่ทำได้       
บุคคลภายนอก  (External people)  เช่น  ที่ปรึกษา  หรือเป็น vendor  หรือ supplier  แบ่งเป็น 2  กลุ่มคือ  กลุ่มที่ให้การบริการเราและกลุ่มที่ให้สินค้าเรา  หรือเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย

ประเภทของเนื้อหา
          เนื้อหาที่กำหนดต้องสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์  โดยเนื้อที่กำหนดต้องมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรือผสมกันใน 4  ประการนี้
1.   จำเป็น  (Essential)  ในข้อนี้ผู้ออกแบบต้องคาดเดาพฤติกรรมมนุษย์และคำถามที่ใช้ถามเพื่อวิเคราะห์ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ ได้แก่ ฉันจะเรียนรู้ที่เพื่อทำงานนั้นเมื่อไหร่” การถามแบบนี้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องเรียนและตอนนี้เราอยู่ที่ตรงไหน มีความจำเป็นเพียงไร
2.   เป็นประโยชน์ (Helpful)  การจะทราบว่าเนื้อหานั้นเป็นประโยชน์หรือไม่ โดยการตั้งคำถามว่า ถ้าไม่มีเนื้อหาข้อนี้จะมีผลกระทบต่อผลการทำงานหรือไม่”  ถ้าคำตอบคือ ไม่ใช่”  ก็แปลว่าไม่จำเป็นแต่ผู้ออกแบบต้องหาต่อไปว่ามีประโยชน์หรือไม่ เนื้อหาในลักษณะนี้อาจจะเกี่ยวพันโดยอ้อมกับการทำงานที่คาดหวังที่จะช่วยให้บุคลากรเข้าใจในงานที่ทำมากขึ้น
3.   เสริมเข้ามา (Peripheral)  เป็นเนื้อหาประกอบเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเสริมเนื้อหาหลัก  ทำให้น่าสนใจและเสริมกันมากขึ้น
4.   ไม่เกี่ยวข้อง  (Unrelated)  เป็นเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่ต้องการจัดมากนักแต่เห็นที่อื่นมี เลยคิดว่าองค์กรเราน่าจะมีบ้าง  โดยมากมักมาจากผู้บริหารระดับสูง

         กระบวนการจัดประเภท/หมวดหมู่  (Process of Categorizing)
           บางครั้งจะพบว่ามีเนื้อหาที่ต้องการให้เรียนรู้มากมายในเวลาที่จำกัด จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือก  การจัดประเภท/หมวดหมู่ งานนี้เป็นหน้าที่หลักของผู้ออกแบบที่จะต้องมาคัดเลือกหัวข้อที่จำเป็น โดยมีคำถามในการช่วยค้นหาได้แก่
·       เนื้อหานี้ตอบสนองวัตถุประสงค์หรือไม่
·       เนื้อหานี้ตอบสนองความต้องการหรือไม่
·       เนื้อหานี้นำไปสู่พฤติกรรมการทำงานที่ต้องการหรือไม่
·       เนื้อหานี้แก้ปัญหาให้กับองค์กรได้หรือไม่

การจัดเรียง  (Sequencing)
           ขั้นตอนนี้เป็นการจัดเรียงเนื้อหา  ส่วนประกอบแรกของหลักสูตรคือเนื้อหา ส่วนที่สองคือการจัดเรียง  การจัดเรียงที่ทำกันมีดังนี้
1.        เนื้อหาทั่วไปสู่เนื้อหาเฉพาะ  (general to the specific)    วิธีการนี้มาจากทฤษฎี Gestalt approach  การเรียนรู้ที่เห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย
 2.        เนื้อหาเฉพาะไปสู่เนื้อหาทั่วไป (specific to the general)    เป็นแนวพฤติกรรมนิยม  เช่น  Skinner  พบว่าถ้าผู้เรียนมีความต้องการทางสังคมสูง เช่น  ชอบพบปะกับบุคคลอื่น  การจัดเรียงแบบทั่วไปไปสู่เฉพาะจะดีกว่า
3.        รูปธรรมไปสู่นามธรรม (concrete to the abstract) โดยเริ่มจากเนื้อหาที่เป็นเหตุเป็นผล  เห็นได้ชัดเจนไปสู่นามธรรม
4.        นามธรรมไปสู่รูปธรรม (abstract to the concrete)  มักเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับปรัชญาหรือเนื้อหาที่กว้างๆ วิธีการนี้ผู้เรียนจะสำคัญมากกว่าเนื้อหา  ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังในการฝึกอบรมที่ต่างวัฒนธรรม (cross-functional training)

แผนการจัดการเรียนรู้  (lesson plan)
           ก่อนจะทำแผนการสอนควรมีการทำ Evaluation & Feedback อีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเนื้อหาที่มีเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการและวัตถุประสงค์หรือไม่  
แผนการสอนเป็นการแปลงเนื้อหา สิ่งที่ได้เตรียมและจัดเรียงไว้แล้วไปไว้ในแบบฟอร์มที่จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดอบรม  แผนการสอนรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่  Job Instruction Training (JIT)  โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.      การเตรียมการ  (Preparation)
2.      การนำเสนอ (Presentation)
3.      การให้ทดลองทำเอง (Application)
4.      การติดตามผล (Verification)

1.        การเตรียมการ (Preparation) ได้แก่ หาข้อเท็จจริงว่าผู้เรียนมีปัญหาหรือไม่รู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง หาวิธิกระตุ้นผู้เรียน  การจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ การแจ้งผู้เรียนเรื่องเวลา  สถานที่ 
2.        การนำเสนอ (Presentation)  คือ เป็นกิจกรรมทั้งหมดที่จะมีในวันที่มีการฝึกอบรม  ได้แก่ กิจกรรม  เทคนิค  วิธีการต่างๆ  ที่ผู้สอนจะนำมาใช้ 
3.        การให้ทดลองทำเอง  (Application)  เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม โดยนำกิจกรรม  เทคนิคต่างๆ ในข้อ 2  มาใช้ระหว่างการฝึกอบรม  เช่น  การแสดงบทบาทสมมุติ  สถานการณ์จำลอง เป็นต้น
4.        การติดตามผล  (Verification)  หรือเทียบได้กับการประเมินผล ขั้นตอนนี้อาจจะเกิดเมื่ออยู่ในขั้นที่ 3  ได้ เป็นการประเมินว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือมีพฤติกรรมตามที่คาดหวังหรือไม่

แผนการสอน (Lesson Plan)
        
Program Title :
Objectives of this lesson :
Preparation :
.       1. Physical environment
  2. Equipment and materials
       3. Instructor
  4. Learner
Time
Major topics
Instructor Activity
Learner Activity
Strategies









 รายละเอียดในแผนการสอน
1.  ชื่อหลักสูตร
2.  วัตถุประสงค์  (objectives) กองหลักสูตรที่จัด
การจัดเตรียม  (preparation)  
1.     สิ่งแวดล้อม  เช่น  ความพร้อมของห้อง การจัดห้อง  การควบคุมสิ่งรบกวนจากภายนอก 
2.     อุปกรณ์ต่างๆ  ที่ต้องใช้ในการจัดฝึกอบรม
3.     ผู้สอน  ควรต้องมีการทำแผนการสอนล่วงหน้า หรือผู้สอนต้องประชุมกับผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เรียนก่อนหรือไม่
·       เวลา (Time) ที่ใช้ในการฝึกอบรมแต่ละช่วง  (ไม่ควรน้อยกว่า 5 นาทีหรือเกิน 1 ชั่วโมง)
·       หัวข้อหลัก (Main topic)  สำหรับสอน  อาจใส่หัวข้อย่อยได้ถ้าจะช่วยให้ผู้สอนเข้าใจและครอบคลุมเนื้อหาที่สอน
·       กิจกรรมของผู้สอน  (Instructor activity)  ที่จะใช้ในการฝึกอบรม ผู้ออกแบบต้องทำความเข้าใจกับผู้สอนว่าจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง 
·       กิจกรรมของผู้เรียน  (Learner activityจะมีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้นบางในช่วงการฝึกอบรม  ควรต้องตอบวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และต้องสร้างความกระตือรือร้นให้กับผู้เรียน เช่น การมีพันธสัญญาการเรียนรู้(learning contract)  การเชื่อมโยงการเรียนรู้กับการทำงานจริงเป็นต้น
·       กลยุทธ์ในการสอน  (Instructional Strategies)  ที่เหมาะสมกับเนื้อหา และกลุ่มผู้เรียน เช่น การสอนด้วยกลยุทธ์ใด ได้แก่ การสอนแบบปัญหาเป็นฐาน การสอนแบบให้คิดวิเคราะห์ เป็นต้น

การประเมินผล (Evaluating)  อาจจะมีการประเมินผลเป็นช่วงๆ  ในแต่ละบทเรียน โดยดูจากวัตถุประสงค์ว่าแต่ละบทเรียนควรประเมินอะไรบ้าง อาจด้วยการทำแบบทดสอบ  หรือการสังเกตุ หรือจากกิจกรรมที่ทำ เป็นต้น   โดยหน้าที่ในการทำแบบทดสอบควรมาจากผู้ออกแบบ หรือจากหน่วยงานภายนอกที่มีความชำนาญ  โดยการใช้  Formative evaluation และ summative evaluation

การประเมินผลและการให้ผลย้อนกลับ  (Evaluation and Feedback)
           ผู้ออกแบบต้องตรวจสอบ  ประเมินว่าหัวข้อต่างๆ ในเนื้อหาสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์หรือไม่ เมื่อจบขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบต้องสามารถ
·       กำหนดหัวข้อที่ต้องเรียนรู้ให้ตอบวัตถุประสงค์ได้
·       กำหนดรายละเอียดได้ว่าการฝึกอบรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

คำถามที่จะช่วยเช็คว่าการสร้างหลักสูตรในขั้นตอนนี้ได้ประสิทธิภาพหรือไม่ คือ
1.       เนื้อหาสามารถตอบวัตถุประสงค์หรือไม่
2.      เนื้อหาจะทำให้ผู้เรียนพึงพอใจหรือไม่
3.      เนื้อหาโยงไปถึงการปฏิบัติงานหรือไม่
4.      เนื้อหาสัมพันธ์กับความต้องการขององค์กรหรือไม่
5.      หลักสูตรนี้ได้รับการยอมรับแล้วใช่หรือไม่
6.      ผู้เรียนจะพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่กำหนดหรือไม่

Reference
Leonard Nadler Zeace Nadler. Designing Training Programs: The Critical Events Model, 1994

บทความที่ได้รับความนิยม