ลองนึกดูว่าถ้าเราต้องเดินทางไปที่ไหนซักแห่งที่ไม่เคยไป เราไม่มีแผนที่ รู้แค่ว่าต้องไปเส้นทางนี้ จะผ่านจังหวัดอะไรบ้าง แวะพักตรงจุดไหนได้บ้างก็ไม่รู้ เราจะอึดอัดซักแค่ไหน แต่ถ้าเรามีแผนที่ รู้เส้นทางที่จะไปชัดเจน เราจะรู้ว่ามาถูกเส้นทางหรือไม่ และต้องใช้เวลาอีกประมาณเท่าไหร่จึงจะถึงที่หมาย
การฝึกอบรมก็เช่นเดียวกัน ผู้เข้าอบรมก็ต้องการทราบว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหนและเราจะพาเขาไปถึงที่นั่นได้อย่างไร เพื่อจะได้รู้ว่ากระบวนการนั้นสมเหตุสมผลและสามารถเป็นจริงได้หรือไม่
ในโครงสร้างจะมีองค์ประกอบของการฝึกอบรม ที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนว่าการฝึกอบรมอบรมในครั้งนี้จะมีส่วนผสมที่กลมกล่อมและนำไปสู่การเรียนรู้ที่ประสบความสำเร็จได้
โครงสร้างที่ดีจะมีประโยชน์ต่อผู้สอนคือ:
· ทำเนื้อหาที่ดูแล้วเหมือนเป็นก้อนใหญ่ ให้เป็นส่วนๆ ที่ง่ายต่อการออกแบบและสื่อสารให้เข้าใจ
· อธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายถึงลำดับเนื้อหาการเรียนรู้จนนำไปสู่การจบของหลักสูตร
· การวางโครงสร้างช่วยให้วางแผนเรื่องของเวลาในการฝึกอบรม
ผู้เข้าอบรมได้รับประโยชน์เช่นกัน คือ :
· มีแผนที่เส้นทางการฝึกอบรม รู้ว่าช่วงต่อไปจะเป็นอะไร ตื่นเต้นและสนุกสนานกับเส้นทางที่เราวางไว้ หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ผู้เข้าอบรมรู้สึกปลอดภัยว่าเขาจะได้พบกับอะไรบ้าง
· โครงสร้างทำให้เห็นความคาดหวัง ดังนั้นผู้เข้าอบรมจะสนใจและมุ่งไปที่การเรียนรู้ที่เขาจะได้รับ
· การสร้างธีม (Theme) หรืออุปมาอุปมัยขึ้นมา จะทำให้หลักสูตรดูน่าสนใจ
แล้วโครงสร้างที่ดีเป็นอย่างไรจึงจะสามารถสร้างความสนใจให้กับผู้เข้าอบรมได้...ที่แน่ๆ เลยนะคะ ต้องสามารถดึงดูดผู้เรียนได้ตั้งแต่เริ่มต้น และยังคงรักษาระดับความสนใจได้ในช่วงของการฝึกอบรมจนจบนั่นเอง
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างการฝึกอบรมนี้ ลองศึกษางานวิจัยของ Dr.Bernice McCarthyที่ได้ทำการวิจัยกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนประเทศสหรัฐอเมริกา สังเคราะห์ได้รูปแบบการสอนที่เรียกว่า 4MAT systemซึ่งการค้นพบมีความน่าสนใจว่าครูบางคนสามารถสร้างความสนใจและดึงดูดให้นักเรียนสนใจเรียนได้ตั้งแต่เริ่มเรียนเลยทีเดียว ในขณะที่บางคนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ นอกจากนี้ในงานวิจัยยังพบว่าเด็กนักเรียนแต่ละคนต้องการข้อมูลที่แตกต่างกัน และถ้าหากต้องการดึงดูดความสนใจตั้งแต่เริ่มแรกเราควรจะวางโครงสร้างให้ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างกันดังนี้
· คนที่ขอบเหตุผลสำหรับการเรียนรู้ “Why”
· คนที่ชอบข้อมูลและข้อเท็จจริง“What”
· คนที่ชอบการนำมาใช้ในการทำงานจริงได้“How”
· คนที่ชอบสำรวจว่าจะเกิดผลอะไรในอนาคต“What if”
นั่นคือ การวางโครงสร้างให้เริ่มด้วย Why– What – How – What ifนะคะ สำหรับสัดส่วนและรายละเอียดควรเป็นอย่างไร โปรดติดตามในคอลัมภ์ครั้งต่อไปนะคะ
Reference
Tom Bird and Jeremy Cassell. Financial Times Guides to Business Training, First Published, 2013.
WWW.ftguidetobusinesstraining.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น