วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2562

การออกแบบโครงสร้างหลักสูตรฝึกอบรมด้วย Why-What-How-What if

ทำอย่างไรจะดึงดูดและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการฝึกอบรม เป็นสิ่งที่ผู้ออกแบบหลักสูตรและผู้สอนสนใจใคร่รู้มากนะคะ มีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผู้เขียนขอหยิบยก The 4MAT System ของ Dr. Bernice McCarthy  มาถ่ายทอดให้ทราบกัน แม้งานวิจัยนี้จะทำกับระบบการศึกษาในโรงเรียน แต่เมื่อนำมาใช้ในการจัดฝึกอบรมในองค์กร ก็พบว่าได้ผลดีเช่นกันค่ะ
The 4MAT System อธิบายความต้องการของผู้เรียนผ่าน คำถาม คำถาม คือ Why-What-How-What if
แนวคิดนี้อธิบายการเรียนรู้ในแง่การรับรู้และการจัดการข้อมูลของผู้เรียน เพื่อให้คนเรียนสนใจการเรียนรู้ตลอดเวลาของการเรียน 
Why-What-How-What if นี้จะเชื่อมโยงไปยังคำถามหลักที่อยู่ในใจของผู้เรียนที่ต้องการคำตอบในการฝึกอบรม ซึ่งเราต้องตอบคำถามเหล้านี้ที่อยู่ในใจผู้เรียนนั่นเองค่ะ  การเรียงลำดับ 4 W ในโครงสร้างหลักสูตร  ต้องเรียงลำดับตามนี้เลยนะคะ 
ความต้องการหลัก/คำถาม
สิ่งที่ต้องตอบผู้เรียน
ผลลัพธ์ที่ได้
Why?
ทำไมฉันต้องเรียนรู้เรื่องนี้
สร้างการเชื่อมโยงกับเนื้อหา
What?
ข้อมูลและการเรียนรู้คืออะไร
สร้างแนวคิดและไอเดีย
How?
จะประยุกต์การเรียนรู้นี้อย่างไร
ประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้
What if?
ผลที่ได้คืออะไร และจะประยุกต์ให้เป็นลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลได้อย่างไร
สร้างแบบฉบับที่เป็นของตนเอง


การออกแบบโครงสร้างหลักสูตรควรครอบคลุมและเรียงลำดับทั้ง คำถามนี้ เพื่อตอบความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เรียน และสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้   ในหลักสูตรเราสามารถแยกเป็นหัวข้อต่างๆ และแต่ละหัวข้อใส่เทคนิค The 4MATsystem เข้าไป เช่น เริ่มแรกชี้แจงวัตถุประสงค์และความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ เป็น “Why”  หัวข้อถัดไป คือ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้าง เป็น What” ในหัวข้อต่อไป ตอบคำถาม “How”จนถึง What if”ค่ะ   สำหรับสัดส่วนว่าแต่ละ W” ควรใช้เวลามากน้อยเท่าไหร่นั้น พอจะสรุปได้ดังนี้ค่ะ
คำถาม
แนวทาง
สัดส่วน (%)
Why?
·     ตอบคำถามให้ได้ว่า ทำไมหลักสูตรนี้จึงสำคัญต่อผู้เรียน เน้นที่มุมมองของผู้เรียน ไม่ใช่ตัวเรา และอย่าสรุปเองว่าผู้เรียนรู้แล้ว
·     ใช้คำถามและสร้างการอภิปราย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสร้างแรงจูงใจ มากกว่าที่ผู้สอนจะบอกไปเลย 
·     ดำเนินกิจกรรมของเราไปจนสังเกตุเห็นว่าผู้เรียนพนักหน้า กระตือรือร้น เชื่อมต่อกับผู้สอนได้อย่างเข้าใจ
15
What?
·     ข้อมูลหรือเนื้อหาที่เราต้องการสอน
·     แบ่งเป็นหัวข้อหลักๆประมาณ 6-7 หัวข้อ ไม่ควรมากจนเกินไป
·     ใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างของผู้เรียน
40
How?
·     กำหนดขั้นตอนสำหรับการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
·     มีการสาธิต ฝึกปฏิบัติ ทำแบบฝึกหัด ให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจกระบวนการใช้งาน
25
What if?
·     ช่วยผู้เรียนให้ทราบว่าจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในบริบทของเขาได้อย่างไร
·     ให้ผู้เรียนเข้าใจว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันทำสิ่งนี้ และไม่ทำสิ่งนี้”
·     ให้โอกาสผู้เรียนได้ถาม
20

การออกแบบโครงสร้างหลักสูตรโดยใช้ The 4MAT system ที่ได้นำเสนอนี้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจนำไปลองใช้กันนะคะ และจะพบว่าผลลัพธ์ที่ได้ ผู้ออกแบบและผู้สอนสามารถดึงดูดผู้เรียนให้เกิดความสนใจเพราะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่แตกต่างกันได้ค่ะ

References
Tom Bird and Jeremy Cassell. Financial Times Guides to Business Training, First Published, 2013.

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

การออกแบบโครงสร้างหลักสูตรฝึกอบรมให้ดึงดูดผู้เรียน

 
ลองนึกดูว่าถ้าเราต้องเดินทางไปที่ไหนซักแห่งที่ไม่เคยไป เราไม่มีแผนที่ รู้แค่ว่าต้องไปเส้นทางนี้ จะผ่านจังหวัดอะไรบ้าง แวะพักตรงจุดไหนได้บ้างก็ไม่รู้ เราจะอึดอัดซักแค่ไหน  แต่ถ้าเรามีแผนที่ รู้เส้นทางที่จะไปชัดเจน  เราจะรู้ว่ามาถูกเส้นทางหรือไม่ และต้องใช้เวลาอีกประมาณเท่าไหร่จึงจะถึงที่หมาย
            การฝึกอบรมก็เช่นเดียวกัน ผู้เข้าอบรมก็ต้องการทราบว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหนและเราจะพาเขาไปถึงที่นั่นได้อย่างไร เพื่อจะได้รู้ว่ากระบวนการนั้นสมเหตุสมผลและสามารถเป็นจริงได้หรือไม่
            ในโครงสร้างจะมีองค์ประกอบของการฝึกอบรม ที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนว่าการฝึกอบรมอบรมในครั้งนี้จะมีส่วนผสมที่กลมกล่อมและนำไปสู่การเรียนรู้ที่ประสบความสำเร็จได้

โครงสร้างที่ดีจะมีประโยชน์ต่อผู้สอนคือ:
·     ทำเนื้อหาที่ดูแล้วเหมือนเป็นก้อนใหญ่ ให้เป็นส่วนๆ ที่ง่ายต่อการออกแบบและสื่อสารให้เข้าใจ
·     อธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายถึงลำดับเนื้อหาการเรียนรู้จนนำไปสู่การจบของหลักสูตร
·     การวางโครงสร้างช่วยให้วางแผนเรื่องของเวลาในการฝึกอบรม

ผู้เข้าอบรมได้รับประโยชน์เช่นกัน คือ :
·     มีแผนที่เส้นทางการฝึกอบรม รู้ว่าช่วงต่อไปจะเป็นอะไร ตื่นเต้นและสนุกสนานกับเส้นทางที่เราวางไว้ หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ผู้เข้าอบรมรู้สึกปลอดภัยว่าเขาจะได้พบกับอะไรบ้าง
·     โครงสร้างทำให้เห็นความคาดหวัง ดังนั้นผู้เข้าอบรมจะสนใจและมุ่งไปที่การเรียนรู้ที่เขาจะได้รับ
·     การสร้างธีม (Theme) หรืออุปมาอุปมัยขึ้นมา จะทำให้หลักสูตรดูน่าสนใจ

            แล้วโครงสร้างที่ดีเป็นอย่างไรจึงจะสามารถสร้างความสนใจให้กับผู้เข้าอบรมได้...ที่แน่ๆ เลยนะคะ ต้องสามารถดึงดูดผู้เรียนได้ตั้งแต่เริ่มต้น และยังคงรักษาระดับความสนใจได้ในช่วงของการฝึกอบรมจนจบนั่นเอง

            แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างการฝึกอบรมนี้ ลองศึกษางานวิจัยของ Dr.Bernice McCarthyที่ได้ทำการวิจัยกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนประเทศสหรัฐอเมริกา สังเคราะห์ได้รูปแบบการสอนที่เรียกว่า 4MAT systemซึ่งการค้นพบมีความน่าสนใจว่าครูบางคนสามารถสร้างความสนใจและดึงดูดให้นักเรียนสนใจเรียนได้ตั้งแต่เริ่มเรียนเลยทีเดียว ในขณะที่บางคนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ นอกจากนี้ในงานวิจัยยังพบว่าเด็กนักเรียนแต่ละคนต้องการข้อมูลที่แตกต่างกัน และถ้าหากต้องการดึงดูดความสนใจตั้งแต่เริ่มแรกเราควรจะวางโครงสร้างให้ครอบคลุมความต้องการที่แตกต่างกันดังนี้
·     คนที่ขอบเหตุผลสำหรับการเรียนรู้ “Why”
·     คนที่ชอบข้อมูลและข้อเท็จจริง“What”
·     คนที่ชอบการนำมาใช้ในการทำงานจริงได้How”
·     คนที่ชอบสำรวจว่าจะเกิดผลอะไรในอนาคต“What if”

นั่นคือ การวางโครงสร้างให้เริ่มด้วย  Why– What – How – What ifนะคะ  สำหรับสัดส่วนและรายละเอียดควรเป็นอย่างไร โปรดติดตามในคอลัมภ์ครั้งต่อไปนะคะ

Reference
Tom Bird and Jeremy Cassell. Financial Times Guides to Business Training, First Published, 2013.

WWW.ftguidetobusinesstraining.com

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลักษณะของวิทยากรและนักพัฒนาหลักสูตรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน

จากบทความก่อนหน้านี้ เราได้ทราบรูปแบบการเรียนรู้ว่ามีอยู่ รูปแบบ ตามแนวคิดของHoney and Mumford Learning Style Model ผู้เรียนแต่ละลักษณะจะมีการแสดงออกที่แตกต่างกันตามนี้ค่ะ

    1.     นักกิจกรรม (Activists)  ชอบประสบการณ์ใหม่ กระตือรือร้น ชอบทำงานเป็นทีม
    2.     นักตรึกตรอง (Reflectors) ชอบเก็บข้อมูล มีเวลาในการคิด คิดละเอียดก่อนตัดสินใจ
    3.     นักทฤษฎี (Theorist)  คิดเป็นขั้นเป็นตอน มีเหตุมีผล มีโครงสร้างชัดเจน ชอบความสมบูรณ์แบบ
    4.     นักปฏิบัติ (Pragmatists) ชอบแนวคิดที่นำมาใช้งานได้จริง กระตือรือร้นในการทำสิ่งต่างๆให้ได้ผลออกมา

     การที่นักพัฒนาหลักสูตรเข้าใจลักษณะการเรียนรู้แต่ละแบบเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีผลในยามที่เราออกแบบหลักสูตร  เรามักจะเผลอออกแบบวิธีการเรียนรู้ในอย่างที่เราชอบ หรืออยากลองวิชาความรู้ที่เพิ่งได้ทราบมา หรือเห็นเขาทำกันแล้วดี โดยลืมดูลักษณะของผู้เรียนว่ารูปแบบการเรียนรู้ที่เราออกแบบนั้น มึความเหมาะสมกับผู้เรียนหรือไม่เพื่อสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างได้ผล

    ในอีกมิติหนึ่ง เป็นที่น่าสนใจเช่นกันว่าแล้วในมุมของวิทยากรกับรูปแบบการเรียนรู้ทั้งรูปแบบนี้  ลักษณะของวิทยากรแต่ละแบบจะเป็นอย่างไรนะคะ เราลองมาดูกันค่ะ
ลักษณะการเรียนรู้
แนวโน้มพฤติกรรม
นักกิจกรรม (Activists)
เต็มไปด้วยพลังและกระตือรือร้น

ใช้กิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมสูง

มีการนำเสนอที่สร้างความเพลิดเพลินสนุกสนาน

ใช้อารมณ์ขันให้ผู้เข้าอบรมสนุกสนาน ร่าเริง

ใช้สิ่งแปลกใหม่ในการดึงความสนใจผู้เข้าอบรม

ตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ

กระตุ้นให้มีการระดมความคิดเห็น

สร้างแรงบันดาลใจ

ทำงานได้ดีกับคนที่มีความมุ่งมั่นพยายาม
นักตรึกตรอง(Reflectors)
ช่วยผู้เรียนให้ตรึกตรองและสะท้อนออกมา

กระตุ้นให้ผู้เรียนอภิปรายการเรียนรู้

ไม่ให้คำตอบโดยทันที

ถามคำถามปลายเปิด

สังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง

ช่วยผู้เรียนหาทางเลือกที่หลากหลาย

คาดหวังว่าผู้เรียนจะเตรียมงานมาก่อน

ทำงานได้ดีกับผู้เรียนที่คิดละเอียดรอบคอบ
นักทฤษฎี (Theorists)
เคร่งครัดกับตารางเวลา

มีความคิดเชิงระบบ

ถามคำถามที่เจาะลงไปยังปัญหาเรื่อยๆ

ช่วยให้ผู้เรียนกลายเป็นผู้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น

สะกดคำ หรือพูดสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

กระตุ้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์ความจริงและข้อมูล

เน้นรายละเอียด ความถูกต้อง

สำรวจความคิดเห็น ทฤษฎีและรูปแบบ

ทำงานได้ดีที่สุดกับผู้เรียนที่ท้าทายและมีคำถาม
นักปฏิบัติ (Pragmatists)
กระตุ้นผู้เรียนให้ทดลอง

ใช้วิธีการเชิงปฏิบัติการ

ให้เคล็ดลับและการบอกใบ้เป็นนัยๆ

แชร์เทคนิคพิเศษ และสิ่งที่เป็นรูปธรรม

ใช้สถานการณ์จำลองที่เป็นเรื่องจริง

ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ

เน้นความสำคัญของการวางแผนปฏิบัติ

ทำงานได้ดีกับคนที่เน้นการปฏิบัติงาน นำสิ่งต่างๆมาใช้การทำงานได้จริง




เมื่อดูแต่ละลักษณะของวิทยากรแล้วล้วนดีและเป็นประโยชน์ทั้งนั้นนะคะ ดังนั้นหลักสูตรฝึกอบรมควรผสมผสานหลายรูปแบบจึงจะเกิดประสิทธิภาพ แต่ถ้าเราชอบรูปแบบใดมากๆ อาจจะหรือ รูปแบบ อาจจะเน้น หรือ รูปแบบนั้น และนำรูปแบบอื่นเข้ามาสร้างความสมดุลย์ให้กับหลักสูตรที่เราออกแบบก็ได้

เคล็บลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการนำรูปแบบการเรียนรู้มาใช้:
o  รู้ตัวเราเองว่าเราชอบรูปแบบการเรียนรู้แบบไหนแล้ว แล้วพยายามผสมผสานรูปแบบอื่นๆในการออกแบบหลักสูตร มากกว่าจะเน้นเพียงรูปแบบการเรียนรู้ที่เราชอบอย่างเดียว
o  ชัดเจนในรูปแบบการเรียนรู้ที่เรากำหนดในการฝึกอบรม และแจ้งให้ผู้เข้าอบรมได้เข้าใจว่าคนเราเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างกันและในการฝึกอบรมนี้ได้ออกแบบโดยมีวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อผู้เรียนทุกคนที่มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ต่างกันจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
o  ช่วงการฝึกอบรม สังเกตว่ารูปแบบไหนจะดึงดูดผู้เรียนบ้าง เราสามารถปรับวิธีการฝึกอบรมของเราได้
o  เมื่อใช้เทคนิคการระดมสมอง เทคนิคนี้เหมาะกับนักตรึกตรอง ควรให้ทราบคำถามล่วงหน้าเพื่อบุคคลกลุ่มนี้จะมีเวลาในการเตรียมและคิดก่อน
o  จัดให้มีเวลาในการสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้
o  บูรณาการรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย ทำให้ใช้ง่ายและเหมือนกับการละลายพฤติกรรม ลดความตึงเครียดของผู้เรียน
o  การทบทวนซ้ำเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ ควรมีการพูดซ้ำในเนื้อหาหลักตลอดการฝึกอบรม คือ มีการทบทวนและฝึกซ้ำนั่นเอง

             การออกแบบหลักสูตร ไม่ได้เป็นสิ่งยากเลยนะคะ ถ้าเราเข้าใจองค์ประกอบทั้งหลายที่ส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้การออกแบบหลักสูตรของเรามีประสิทธิภาพ นอกจากรูปแบบการเรียนรู้แล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่สำคัญด้วยนะคะ ซึ่งจะมานำเสนอในบทความต่อๆ ไป

Reference
Tom Bird and Jeremy Cassell, Financial Times Guides to Business Training. First published, 2013

บทความที่ได้รับความนิยม